Friday, December 22, 2006
Friday, December 15, 2006
The Human Development Index (HDI), published annually by the UN, ranks nations according to their citizens' quality of life rather than strictly by a nation's traditional economic figures. The criteria for calculating rankings include life expectancy, educational attainment, and adjusted real income. The 2006 index is based on 2004 figures.
The HDI 2006 top twenty list is as follows:
1. Norway
2. Iceland
3. Australia
4. Ireland
5. Sweden
6. Canada
7. Japan
8. United States
9. Switzerland
10. Netherlands
11. Finland
12. Luxembourg
13. Belgium
14. Austria
15. Denmark
16. France
17. Italy
18. United Kingdom
19. Spain
20. New Zealand
Download full report here.
Wednesday, December 13, 2006
Saturday, December 09, 2006
James Kim, Senior Editor ของเวบไซต์เทคโนโลยี Cnet หายตัวลึกลับไปเป็นเวลากว่าสัปดาห์ ผู้คนเริ่มตามหาจนในที่สุดได้พบรถของ James Kim ติดอยู่ท่ามกลางหิมะ แต่ในรถมีเพียงแต่ภรรยาและลูกๆ ของ James
ด้วยความหวัง James บอกกับภรรยาว่าจะออกไปขอความช่วยเหลือจากชุมชนที่ใกล้ที่สุด หากไม่เจอเขาจะกลับมาที่รถให้เร็วที่สุด แต่ James Kim ไม่หวนกลับมาแต่อย่างใด
Friday, December 08, 2006
เมื่อวานนี้ HBS ได้เชิญ Steve Ballmer มาบรรยาย update เรื่องราวในโลกเทคโนโลยี ก็เลยขอติดสอยห้อยตาม Sloan MediaTech Club ไปฟังกับเขาด้วย ก่อนเริ่มงานก็มีโอกาสได้กระทบไหล่เศรษฐ๊ระดับ Top 10 ของโลกคนนี้ในห้องน้ำ แต่ตอนนั้นไม่รู้ว่าลุงหัวล้านคนนี้เป็นใคร แต่เห็นคนเดินเข้ามาคุยด้วย 2-3 คน เลยเดาว่าน่าจะเป็น professor ของ Harvard มารู้อีกทีว่าลุงแกคือ Steve Ballmer, CEO ของ Microsoft ก็ตอนที่แกโผล่ออกมาบรรยายบนเวที เสียดายโอกาสจริงๆ ถ้ารู้ตอนนั้นจะขอถ่ายรูปซักแชะนึงลุง Ballmer แกเริ่มเรื่องด้วยการเล่าชีวิตวัยหนุ่ม สมัยที่ drop ออกจาก MBA program ที่ Stanford แล้วเข้ามาแจม Microsoft เป็นพนักงานคนที่ 24 ของบริษัท ถือว่าเป็นความกล้าบ้าบิ่นมากๆ ที่ยอมทิ้งอนาคตที่สดใสมาร่วมหัวจมท้ายกับบริษัทที่ยังไม่มีใครรู้จักในตอนนั้น แต่วันเวลาก็พิสูจน์แล้วว่า 20 กว่าปีผ่านมา การตัดสินใจครั้งนั้นของแกถูกต้อง ตอนนี้แกมีความฝันที่จะ integrate IT เข้ากับทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต (จริงๆ ตอนนี้มันก็เกือบหมดทุกอย่างแล้วนะ)
ช่วงเวลานี้ถือเป็นช่วงเวลาที่สำคัญอีกช่วงหนึ่งของ Microsoft เนื่องจากไม่นานมานี้เพิ่งปล่อย OS ตัวล่าสุด Vista ออกมา และยังท้าชิงบัลลังก์เจ้าพ่อเครื่องเล่น mp3 กับ Apple ด้วยการปล่อย Zune ออกมาท้าทาย เจ้า Zune ตัวนี้ มีความสามารถพิเศษคือ สามารถแชร์เพลงกับ Zune เครื่องอื่นได้แบบ wireless มีคนถามว่า ไม่สายเกินไปเหรอที่เพิ่งคิดจะทำเครื่องเล่น mp3 ตอนนี้ ลุงแกก็ตอบตรงๆว่า "ก็สายไปแล้วล่ะ" จริงๆ แล้วแกจะรออีกสักนิดให้ Microsoft คิดเครื่องเล่น mp3 ที่มี feature ล้ำกว่า Ipod ก็ได้ (ซึ่งไม่รู้เมื่อไหร่) แต่แกก็ตัดสินใจที่จะลุยตอนนี้เลย เพราะถือว่าเป็นโอกาสดีที่จะให้ทีมงานได้ลงมาทดลองสนาม และเรียนรู้ตลาดเครื่องเล่น mp3 เรียกได้ว่าเป็นการ learning by doing อย่างแท้จริง (แถมให้ว่าน่าจะเป็น Learning by Failure ด้วย ดู feature ของ Zune แล้ว ยังไม่เห็นว่ามันน่าดึงดูดสักเท่าไหร่)
บุคลิกโดยรวมของลุง Ballmer นั้น ทุกคนพูดเป็นเสียงกันว่าแกมัน Hyperactive จริงๆ แถมยังมีอารมณ์ขันสอดแทรกมาตลอด style การพูดต่างจาก Fiorina สิ้นเชิง แต่ความคิดนั้นคมคาย และเนื้อหาที่ผู้ฟังได้รับนั้น ก็มีประโยชน์กับผู้ฟังไม่แพ้ Fiorina
ปล.รู้สึกดีรู้ว่ามีคน MBA ที่สนใจ IT อยู่มิใช่น้อย ไม่ใช่มีแต่ I-Bank กับ Consulting
Tuesday, December 05, 2006
To be honest, I don't know most of them. But it's kind of cool to learn who they are.
Friday, December 01, 2006
Wednesday, November 29, 2006
Over 60 years, a beloved monarch has used his moral authority to guide Thailand through many crises
BY ROBERT HORN
As a single shot shattered the stillness of Bangkok's Borompimarn Palace on a steamy June morning in 1946, the land some still called Siam changed forever. Twenty-year-old King Ananda was dead. The manner of his passing-by accident, suicide or murder-endures as Thailand's deepest mystery. The pistol smoke barely had time to clear before the mantle of kingship passed to Ananda's 18-year-old brother, Bhumibol Adulyadej. Some, including a new magazine in Asia named TIME, pondered whether the "gangling, spectacled" teenager could survive the deadly intrigues of a fabled and faraway Oriental land.
The odds were against him. All across Southeast Asia, monarchies were being extinguished?kings and princes stripped of power, driven into exile or executed. Yet young Bhumibol steadily grew in stature, not least by launching over 3,000 royal projects to help the poor. Even as a communist insurgency raged, he personally delivered relief to remote villages. Bhumibol also quietly counseled and sometimes openly cajoled governments, always urging them to put public interest first. Having sat on the throne for 60 years, he is the world's longest-reigning monarch. His stewardship has been so masterful that in times of crisis Thais invariably turn to one man: King Bhumibol. Indeed, on two occasions?October 1973 and May 1992?with Thailand descending into chaos, the King, armed only with his moral authority, intervened to end bloodshed.
Today, a group of generals has again seized power. They have pledged to give Thailand a fairer and lasting democratic system. Once more, Thailand's people will look to King Bhumibol, trusting him to ensure that the generals keep their promise.
source: http://www.time.com/time/asia/2006/heroes/in_adulyadej.html
Sunday, November 26, 2006
บรรยากาศ Thai Thanksgiving Party ถ่ายโดยกุ๊กและนัทจาก Austin, Texas
รูป Boston ในมุมต่างๆ ฝีมือของสองหนุ่มกุ๊กและนัทเช่นเคย
Wednesday, November 22, 2006
Tuesday, November 21, 2006
Jim Croce - Time in the Bottle
If I could save time in a bottle
The first thing that Id like to do
Is to save every day
Till eternity passes away
Just to spend them with you
If I could make days last forever
If words could make wishes come true
Id save every day like a treasure and then,
Again, I would spend them with you
But there never seems to be enough time
To do the things you want to do
Once you find them
Ive looked around enough to know
That youre the one I want to go
Through time with
If I had a box just for wishes
And dreams that had never come true
The box would be empty
Except for the memory
Of how they were answered by you
But there never seems to be enough time
To do the things you want to do
Once you find them
Ive looked around enough to know
That youre the one I want to go
Through time with
Jim Croce - I'll have to say I love you in a song
Monday, November 20, 2006
OST. Il Mare - We must say goodbye
เศร้าซะ
Sunday, November 19, 2006
Saturday, November 18, 2006
Thursday, November 16, 2006
My all-time favourite animation ..
Totoro!
Wednesday, November 15, 2006
By the way, I would like to introduce you the most beautiful voices of all time, Lisa Ono and Norah Jones. Whenever you feel frustrated or stressful, listening to their music helps you clear your messy mind.
Lisa Ono - Gentle My Mind
Norah Jones - Tennessee Waltz
Monday, November 13, 2006
Sunday, November 12, 2006
Lemar - It's Not That Easy
I've never known Lemar before. But right after I listened to this song, I became his fan. He has such a beautiful voice.
Lighthouse Family - Lifed
I knew them by this song. It was their debut .. really cool music.
Saturday, November 11, 2006
Aerosmith - Crazy (Classic MV - Alicia Silverstone and Liv Tyler were supersexy at that time. I don't know where they are now)
Franz Ferdinand - Walk Away
Franz Ferdinand - The Fallen
ปาฎิหาริย์ที่รอคอย - ป็อป Calories Blah Blah
ไม่ต้องรู้ว่าเราคบกันแบบไหน - ดา เอ็นโดรฟิน
Friday, November 10, 2006
Pink Martini - Sympathique
Pink Martini - Let's Never Stop Falling in Love, Paris 2004
เพราะมั่กๆ ฟังแล้วตายไปเลย แถมท้ายด้วย MV ของ OK Go หลายคนอาจจะเคยเห็นแล้ว MV นี้เป็นที่ฮือฮามากเมื่อสองสามเดือนก่อน ดูเองแล้วกันว่าฮือฮายังไง
Wednesday, November 08, 2006
Monday, November 06, 2006
ส่งรักส่งยิ้ม - Paradox
Wednesday, November 01, 2006
Saturday, October 28, 2006
Tuesday, October 24, 2006
Wednesday, October 18, 2006
สอบ mid-term ผ่านไปสองวิชา มีความมั่นใจมากว่าจะตก mean จะว่าไปแล้วข้อสอบก็ไม่ได้ยากเย็นสักเท่าไหร่ แต่ขึ้นอยู่กับการบริหารเวลาและการฝึกฝน แต่ไม่เป็นไร ถึงจะพลาดคราวนี้ ก็ได้เรียนรู้ว่า weak point ของเราคืออะไร และจะต้อง focus ตรงไหน
ที่น่าสนใจกว่าวันนี้ก็คือ MIT Dean's Innovative Leader Series ที่ได้อดีต CEO ของ HP มาเล่าถึงชีวิตของเธอให้เราฟังกัน Carly Fiorina เป็น CEO ของ HP ตั้งแต่ปี 2000 - 2005 ว่ากันว่าเธอช่วยพลิกฟื้นบริษัทที่กำลังอยู่ในภาวะย่ำแย่ท่ามกลางวิกฤติเศรษฐกิจของโลกให้กลับมาแข็งแรงได้อีกครั้ง ผลงานที่สำคัญอีกอย่างของเธอ ก็คือการ merge รวม Compaq เข้ากับ HP แต่จู่ๆ ในปี 2005 ก็มีข่าวช็อคโลกว่าเธอถูกไล่ออกจากบริษัท ด้วยเหตุผลกลใดมิอาจทราบได้ แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้เธอเขียนหนังสือออกมาเล่มหนึ่ง ชื่อว่า Tough Choices เธอย้ำให้เราฟังใน session วันนี้ว่า เธอเขียนเองทุกๆ ตัวอักษร ไม่ได้ใช้ Ghost Writer เหมือนผู้บริหารคนอื่นๆ แต่อย่างใด (นึกว่ามีแต่ดาราไทยที่ชอบใช้ Ghost Writer ซะอีก) เบื้องหลังของ Fiorina นั้นน่าสนใจมาก เธอเรียน Medieval History และ Philosophy จาก Standford แต่รู้ตัวว่า degree นี้มันไม่สามารถ "pay the bill" เธอเลยมองหาอาชีพใหม่ เลยไปเข้าเรียน Law School ที่ UCLA แต่ก็มารู้ตัวทีหลังอีกว่าเธอเกลียดกฎหมาย คราวนี้เลยหันมาเรียน MBA ที่ University of Marlyland แทน จากนั้นเธอ ก็ได้มีโอกาสมาเข้าร่วม Sloan Fellow Program ที่ Sloan เธอบอกว่าช่วงนี้เป็นจุดเปลี่ยนของชีวิต เพราะเธอเคยคิดมาก่อนว่าเธอจะเป็น CEO ได้ แต่ที่ Sloan เธอได้พบกับ CEO มากหน้าหลายตา หลายคนเก่งจริง พูดจามีเหตุผล แต่หลายคนก็ห่วยแตก จนเธอบอกว่า ถ้าไม่เจอหน้ากันอีกก็คงจะดี
Fiorina เริ่มชีวิตการทำงานด้วยการเป็นเลขานุการ โดยบรรยายงานของเธอในแต่ละวันว่า มีแต่พิมพ์ดีดกับรับโทรศัพท์ จนกระทั่งมีคนมาชักชวนให้ไปทำงานที่เกี่ยวข้องกับ business เธอก็เริ่มค้นพบสิ่งที่ตัวเองอยากทำ เธอเข้าทำงานกับ AT&T ในฐานะ management trainee และก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง Vice President โดยทำงานให้กับ Lucent Technologies บริษัทลูกที่แยกตัวมาจาก AT&T เป็นตำแหน่งสุดท้ายก่อนที่จะมาทำงานที่ HP
ปรัชญาการบริหารของ Fiorina หลักๆ นั้นมุ่งไปที่การบริหารคน เธอบอกว่าเรื่องตัวเลข บัญชี การผลิต การขาย นั้นเป็น fundamental ที่ทุกบริษัทต้องให้ความสำคัญอยู่แล้ว แต่จุดที่จะทำให้ differentiate หรือสร้าง competitive advantage จริงๆ นั่นก็คือคน เธอกล่าวประโยคเด็ดไว้ว่า "people are people, whereever they are" จะหมายความว่าอะไร ก็แล้วแต่ที่จะตีความกันเอาเอง แต่อยากให้ซึ้งคงต้องอ่านหนังสือของเธอ (ซึ่งผมยังไม่ได้อ่าน หากได้อ่านแล้วจะมาเล่าสู่กันฟังต่อไป)
สิ่งที่เธอเน้นให้เราฟังวันนี้อีกอย่างก็คือ เธอเห็นว่า management นั้นสำคัญ แต่ management ไม่ใช่ leadership คนที่ภาวะผู้นำสูงๆ ต้องสามารถตัดสินใจใจภาวะคับขัน และสามารถนำพาบริษัทผ่านการเปลี่ยนแปลงไปให้ได้ มนุษย์ทุกคนเหมือนกัน คือ มีแน้วโน้มที่จะต่อต้านการเปลี่ยนแปลง เป็นหน้าที่ของผู้นำที่จะสื่อสารทำความเข้าใจกับทุกคนในองค์กรให้รับรู้ ยอมรับการเปลี่ยนแปลงให้ได้ สิ่งที่ผู้นำหรือผู้บริหารแบกไว้บนบ่านั้นเป็นภาระที่หนักอึ้ง ใครที่คิดจะเติบโตเป็นผู้บริหารต้องเตรียมใจรับความจริงข้อนี้ไว้ให้ดี จบจากการบรรยายแล้ว พวกเราชาว sloanies ก็ไปยืนต่อแถวให้เธอเซ็นลายเซ็นให้ Fiorina ยิ้มแย้มแจ่มใสและดูเป็นมิตร ผิดกับท่าทางบนเวทีที่เธอดูจริงจัง และดูเป็นมืออาชีพมากๆ The Dean's Innovative Leader Series คราวหน้า ได้ Daniel Hesse CEO ของ Embarq Corporation มาบรรยาย จริงๆ แล้วผมก็ไม่รู้จักเหมือนกันว่าเขาเป็นใคร แต่ก็ว่าจะลองไปเข้าดู หวังว่าจะได้มุมมองอะไรใหม่ๆ มาใส่ในสมองอันว่างเปล่าได้บ้าง
Sunday, October 15, 2006
ลมหนาว - ลูกตาล
Monday, October 09, 2006
ด้านล่างนี้เป็นรูปจาก trip New York ครั้งที่แล้ว เผอิญลืม post ครับ ..
New York City Boy - Pet Shop Boys
Tuesday, October 03, 2006
หลับสักพัก - บีม จารุวรรณ
Thursday, September 28, 2006
Tuesday, September 19, 2006
ได้ยินข่าวรัฐประหารวันนี้แล้วก็อดใจหายไม่ได้ หลังจากพฤษภาทมิฬแล้ว ก็ไม่เคยคิดว่าจะมีอีก สงสารประเทศไทยจริงๆ เมื่อไหร่พวกนักการเมืองมันจะเลิกโลภมาก แล้วทำตามพระราชดำรัสในหลวงเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง อยู่อย่างพอเพียง อยากรวยล้นฟ้ากันทำไมนักหนาก็ไม่รู้ ตายไปก็เน่าเหม็นเหมือนกัน
ชิงหมาเกิด - ฺBuddha Bless
Saturday, September 16, 2006
Wednesday, September 13, 2006
Monday, September 11, 2006
มาร่วมกันภาคภูมิใจกับความสำเร็จของหนังไทยกันดีกว่าครับ ผ่านไปสามวันที่ต้มยำกุ้ง หรือในชื่อภาษาอังกฤษว่า The Protector เข้ามาฉายในอเมริกา สามารถทะยานขึ้นไปถึงอันดับ 4 ทำรายได้ไปกว่า 5 ล้านเหรียญ หนังถูกตัดทอนไปเยอะพอสมควร เข้าใจว่าคงกะจะขายฉากบู๊ของพี่จาอย่างเดียว เลยทำให้ขัดใจบรรดานักวิจารณ์ บ้างก็หาว่า plot ห่วย บ้างก็บอกว่าเหมือน vdo game บ้าง แต่สำหรับคนดูแล้ว ผมว่า feedback ออกมาค่อนข้างบวก ตอนเข้าไปดูในโรงฝรั่งมันนั่งซี๊ดปากกับฉากหักกระดูกของพี่จากันทั้งโรง (โดยเฉพาะท่าแหกขาแล้วหักกระดูก) สารภาพตามตรงว่าตอนแรกที่ดูที่เมืองไทย ผมก็เผลออุทานออกมาว่า ทำไม plot มันห่วยจังวะ ไม่มีแก่นสาร แต่พอมานั่งนึกดูอีกที นี่มันหนัง action นี่หว่า หากอยากได้ plot เนียนๆ จะมานั่งดูหนัง action ทำแป๊ะอะไร ว่าไปแล้วขอเชิญชวนบรรดาพี่ๆ น้องๆ ไปสนับสนุนหนังไทยกันเถอะครับ
Friday, September 08, 2006
ผมรักคุณ - Acappella 7
รอยตีนกา - Acappella 7
เธอน่ารัก - Acappella 7
ตด - Acappella 7
เรียนไม่เก่ง - Acappella 7
หมดตูดแล้ว - Acappella 7
จะกลับมา - Acappella 7
ผู้ชายร้องไห้ไม่เป็น - Acappella 7
แถมเพลงจี้ๆ อีกเพลง
อาตี๋สักมังกร - เพลิน พรหมแดน
ผงาดง้ำค้ำโลก - Paradox
Monday, September 04, 2006
เชิญชมเบื้องหลังการถ่ายทำ ความยากลำบากในการทำ logo MIT บนหินก้อนมหึมาที่รายล้อมไปด้วยสาหร่ายหนึบย้วย Monday, September 4, 2006
Monday, August 28, 2006
คำเตือน หากฟังในฤดูหนาวอาจจะตายไปเลยนะครับพี่น้อง
จากกันด้วยดี - เบิร์ดกะฮาร์ท
ผู้ชายในเงาจันทร์ - Tea for Three
เมื่อรู้สึกว่ารัก - สุรชัย กิจเกษมสิน
เหงา - Pause
หนาวนี้ - Friday I'm in Love
คิดถึง - Armchair
คืนนี้ - บอยด์
สายลมไม่เห็นใจ - Calories Blah Blah
โลกหมุนด้วยความรัก - Crescendo
แค่ความรัก - DDT Superband
กลับไป new york อีกครั้ง หลังจากมีโอกาสได้ไปเยี่ยมเยียนครั้งแรกเมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้ว ครั้งนี้พิเศษกว่า ตรงที่ฝนตกทั้งสองวัน หลายคนอาจจะบ่น แต่ผมมีความสุขทุกครั้งที่ได้เดินตากฝน (ปรอยๆ นะครับ หนักๆ ก็ไม่ไหวเหมือนกัน)เดินไปก็แอบคิดเรื่อง econ ไป อืม ..... deadwight loss จ๋า consumer surplus จ๋า
new york ก็ยังน่าสนใจเหมือนเดิม เป็นเมืองที่มีความหลากหลายทางชีวภาพและสีสันละลานตามาก คราวที่แล้วพลาดจุด must-see ไปหลายแห่ง คราวนี้เลยไปไล่เก็บตั้งแต่เทพีเสรีภาพ ellis island, empire state building, central park และที่สำคัญคือปิดท้ายด้วยร้าน pam เป็นร้านอาหารไทยที่ทุกคนยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่าอร่อยที่สุดในอเมริกา (ปานนั้น)ขออภัยที่ยังไม่มีรูป เพราะรอน้องๆ upload ให้อยู่ หากเผลอเข้ามาอ่านก็ช่วย post กันเร็วๆ ด้วยนะครับพี่น้อง
I'm singing in the rain
Just singing in the rain
What a glorious feeling
I'm happy again
I'm laughing at clouds
So dark up above
The sun's in my heart
And I'm ready for love
For love
Let the stormy clouds chase
Everyone from the place
Come on with the rain
I've a smile on my face
I'll walk down the lane
With a happy refrain
Singing, singing in the rain
In the rain.
La...
I'm singing in the rain
Just singing in the rain
What a glorious feeling
I'm happy again
I walk down the lane
With a happy refrain
I'm singing, singing in the rain
In the rain
In the rain
Saturday, August 26, 2006
Tuesday, August 22, 2006
Saturday, August 19, 2006
ส่งแค่นี้ - บอย ตร้ย ภูมิรัตน์
Wednesday, August 16, 2006
สัปดาห์สุดท้ายของ Harvard Summer School ทาง IEL สมนาคุณให้กับบรรดานักเรียนด้วยการพาเราไปเดินทางรอบ boston กับทัวร์สะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบกอันเลื่องชื่อนามว่า Duck Tour ถือว่าพวกเราโชคดีไม่น้อยที่ได้มีโอกาสนั่ง Duck Tour ในวันที่ฝนตก น้อยคนนักจะได้มีโอกาสเยี่ยงนี้ T_T จุดเด่นของ Duck Tour อย่างหนึ่งคือ พี่คนขับ วันนี้แต่งตัวเป็น pirate แต่พอพี่แกถอดหมวกออกมา ทุกคนก็ร้องฮือ เมื่อได้เห็นผมสีน้ำเงินทรงขัดใจแม่ พี่คนขับของเราใจดี พยายามช่วยนักเรียนตอบคำถาม assignment อันสุดหิน และพยายามเล่นมุขกับพวกเราเต็มที่ แต่น่าสงสารพี่แกเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากพวกเราไม่เข้าใจมุขที่แกเล่น ได้แต่หันหน้ามามองกันเองว่า มันพูดอะไรวะ แล้วก็มีแต่อาจารย์ฝรั่งสองคนนั่งหัวเราะอยู่หลังรถ สองเดือนที่ผ่านมาใน Harvard Summer School มันไม่ได้ช่วยให้ชีวิตเราดีขึ้นเลยหรือนี่ โอ้ คุณพระช่วย
Sunday, August 13, 2006
Saturday, August 12, 2006
more pictures at http://picasaweb.google.com/nithivadee/NewHampshireLuvIt
http://www.kodakgallery.com/I.jsp?c=flx8xy6.gm1jy3a&x=1&y=b051h0
ชีพจรของผองเราลงเท้าอีกแล้ว คราวนี้แห่กันไปเป็นขบวนพี่เยี่ยมเยียน New Hamshire ออกเดินทางกันเกือบสิบโมงด้วยรถสามคันจาก Kendall Square แต่กว่าจะไปถึงที่หมายก็เกือบบ่ายโมงกว่า เนื่องจากรถสองคันหลังเกิดอาการอยากขับรถชมวิว เลยขับไปอ้อมนอกเส้นทางเสียไกล บรรดาผู้โดยสารในรถคันแรกเลยได้มีโอกาสไปเดินเที่ยวล่วงหน้าก่อนชั่วโมงกว่าๆ ทีเด็ดความนี้ก็คงไม่พ้นสถานที่ที่อาจารย์ท็อปของเราเรียกว่า "ภูมิจอด" ฟังครั้งแรกก็งงว่าทำไมมันมีชื่อไทยด้วย (วะ) แต่หลังจากได้เห็นชื่อภาษาอังกฤษถึงได้ร้องอ๋อว่า มันคือ Flume Gorge นั่นเอง (เอวัง) เจ้าภูมิจอดที่ว่านี้เป็นทางเดินน้ำตกผ่านช่องหินแคบๆ ที่สวยได้ใจมาก บรรดาคนไทยเราเล่นหยุดถ่ายรูปทุกๆ 30 วินาที กว่าจะเดินไปครบรอบก็ปาเอาไปชั่วโมงกว่า ต่อจากนั้นเราไปเดินขึ้นเขาเพื่อชมความงามของ Echo Lake ลมพัดเย็นสบาย พี่น้องก็ถ่ายรูปกันอย่างเมามันส์เช่นเคย ตบท้ายวันด้วยการไปกิน sea fastfood ที่ทะเลสาบชื่อเรียกยาก Winnipesaukee ถือว่าเป็นการจบที่สวยงาม แม้อากาศจะเย็นไปนิด แต่พวกเราก็ได้ไออุ่นซึ่งกันและกันมาคลายความหนาว (-_- ')
Wednesday, August 09, 2006
Monday, August 07, 2006
Monday, July 31, 2006
Our life together is so precious together
We have grown, we have grown
Although our love is still special
Let's take a chance and fly away somewhere alone
It's been too long since we took the time
No-one's to blame, I know time flies so quickly
But when I see you darling It's like we both are falling in love again
It'll be just like starting over, starting over
Everyday we used to make it love
Why can't we be making love nice and easy
It's time to spread our wings and fly
Don't let another day go by my love
It'll be just like starting over, starting over
Why don't we take off alone
Take a trip somewhere far, far away
We'll be together all alone again
Like we used to in the early days
Well, well, well darling It's been too long since we took the time
No-one's to blame, I know time flies so quickly
But when I see you darling
It's like we both are falling in love again
It'll be just like starting over, starting over
Our life together is so precious together
We have grown, we have grown
Although our love is still special
Let's take a chance and fly away somewhere
Starting over
เพลงนี้ชื่อว่า Just Like (Starting Over) ของ John Lennon เป็นเพลงที่ผมชอบฟังเมื่อถึงคราวที่ต้องลาจากใครสักคน อาจดูเหมือนเป็นเพลงของคู่รักที่ต้องจากกัน แต่ไม่เป็นไร ผมถูไถไปได้ว่า เพื่อนฝูงจากกันก็คงใช้ได้ โดยเฉพาะท่อนนี้
Our life together is so precious together
We have grown, we have grown
Although our love is still special
Let's take a chance and fly away somewhere alone เราต่างคนก็ต่างเติบโต และเราก็ต้องโบยบินไปหาหนทางใหม่ๆ ชีวิตใหม่ๆ กันต่อไป อย่างเช่นวันนี้ รู้สึกใจหายที่น้องๆ กลุ่มแรก คือ ซิมกับอาร์ค ต้องจากบอสตันเพื่อไปเจอกับของจริงที่ Wharton และอีกไม่นานน้องๆ ที่เหลือก็คงจะจากไปทีละคนสองคน Time Flies So Quickly คงไม่มีใครปฏิเสธว่า ตลอดเวลาเกือบ 2 เดือน เราชาว Thai MBA in Boston นั้นมีความสุขกันแค่ไหน ทั้งเรียนทั้งเล่นคละเคล้ากันไป จริงๆ แล้วเราก็ไม่ได้หายไปไหนไกลนักหนา ว่างๆ ก็คงไปแวะเยี่ยมเยียนกันได้บ้าง แต่ก็อดรู้สึกใจหายไม่ได้จริงๆ
Sunday, July 30, 2006
Wednesday, July 26, 2006
และแล้วผมก็เจอสถานที่สุดยอดอีกแห่งหนึ่งใน Boston ใช่แล้วครับพี่น้อง มันคือ the Museum of Fine Arts เป็นพิพิธภัณฑ์ทางศิลปะที่สุดยอดมาก รวบรวมศิลปะแทบทุกยุคทุกสมัย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องปั้นดินเผา ภาพเขียน ภาพถ่าย ฯลฯ ผมเองก็ไม่ใช่คออาร์ตแบบ Hardcore แต่ก็สามารถดื่มด่ำและมีความสุขกับการชมศิลปะได้ ไม่ต้องปีนบันไดแต่อย่างใด นอกจากงานศิลป์ที่มีโชว์กันเป็นปกติแล้ว ที่ mfa ยังมีภาพยนตร์อาร์ตๆ กับคอนเสิร์ตเจ๋งๆ ให้ดูอีกเพียบ สงสัยว่าคงจะต้องมาเยี่ยมกันอีกหลายหนเลยนะจ๊ะ พี่ mfa (http://www.mfa.org)
Saturday, July 22, 2006
วันนี้เป็นครั้งที่สองที่ได้มาเหยียบ Sanders Theatre หลังจากศุกร์ที่แล้วได้มาดู The Marchant of Venice แต่เส้นความอดทนขาดเพียงแค่ 20 นาทีแรก เพราะฟังนักแสดงไม่รู้เรื่อง (รู้สึกว่าตัวเองโง่อีกแล้ว T_T) แต่สำหรับศุกร์นี้ ทาง Harvard จัดคอนเสิร์ต Mozart Celebration โดยเชิญวง Boston Landmarks Orchestra (BLO) มาเล่น ถึงแม้จะไม่ใช่คอเพลงคลาสสิค แต่ก็น่าจะดีกว่านั่งดูละครของท่านเขย่าหอกศุกร์ที่แล้ว
ครั้งนี้คนแน่นโรงละครตามที่คาดไว้ ทางทีมคนไทยเราก็มากันเกือบครบ แต่ต้องนั่งแยกกันเพราะว่าเข้าโรงไม่พร้อมกัน คอนเสิร์ตเริ่มด้วย Symphony No. 39 แล้วตามด้วย Requiem Mass โดยส่วนตัวแล้ว ผมชอบช่วงหลังมากกว่า เพราะนอกจากเสียงเครื่องดนตรีแล้ว ยังมีเสียง Chorus จากทีม New World Chorale และ Vocal Soloist อีก 4 คน คือ Jonita Lattimore (soprano), Victoria Avestisyan (mezzo soprano), Charles Blandy (tenor) และ Robert Honeysucker (baritone) แต่หากถามว่าเข้าใจคอนเสิร์ตครั้งนี้อย่างลึกซึ่งหรือไม่ ก็คงตอบว่าไม่ครับ คงต้องอาศัยเวลาและประสบการณ์อีกสักนิดในการทำความเข้าใจ
หลังจากคอนเสิร์ตเลิกแล้ว ก็ขึ้น T กลับบ้าน มีเรื่องให้ต้องประหลาดใจ ที่อยู่ดีๆ ฝรั่งที่นั่งอยู่ข้างหลังพูดขึ้นมาว่า "คนไทยใช่มั๊ย" ปรากฎว่าพี่แกเคยอยู่เมืองไทยมา 1 ปี ที่เชียงใหม่ ตอนนี้ทำงานเป็น Economic Consultant อยู่ที่ Lexicon แถมยังบอกว่ามองหาคนไทยมานานแล้ว แต่ไม่เคยได้เจอเลย ปีหน้าจะสมัคร MBA ของ Sloan อีกต่างหาก โลกนี้มีเรื่องให้เราต้องประหลาดใจอยู่เสมอจริงๆ คุยได้แป๊บเดียวก็ต้องลง T ที Kendall/MIT แล้ว เลยปล่อยหน้าที่คุยกับฝรั่งให้เป็นของน้องๆ ต่อไป
Thursday, July 20, 2006
2 วันต่อมาหลังจากไปเยี่ยมชม Boston Public Library เราก็ไปกันที่ the JFK Musuem and Library ถือว่าเป็น week ที่คุ้มมาก เพราะไม่ค่อยได้เรียนเท่าไหร่ แต่ได้เที่ยวหลายที่ อิ อิ ท่าน JFK ของเรานี้เป็นที่ชื่นชมของคน Boston มากๆ และถือว่าเป็นประธานาธิบดีที่เกิดจากความนิยมของประชาชนจริงๆ แต่เสียดายที่ต้องมาเสียชีวิตเพราะโดนลอบสังหารไปเสียก่อนที่จะทำอะไรได้เป็นชิ้นเป็นอัน
Monday, July 17, 2006
ท่ามกลางอากาศอันร้อนระอุ และแสงแดดที่เผาเนื้อขาวบ้าง คล้ำบ้าง ของเราชาวไทยและชาวญี่ปุ่นรวมกันทั้งสิ้น 14 ชีวิต เรายืนถ่ายรูปกันอย่างมีความสุข ณ Rockport ชายหาดนอกเมือง ที่ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าหาดเมืองไทยสวยกว่าพันเท่า เป็นครั้งแรกที่เราเดินทางเป็นหมู่คณะออกนอกเมืองกันอย่างพร้อมเพรียงเช่นนี้ โดยรถทั้งสามคันเป็นของเพื่อนญี่ปุ่นทั้งสิ้น เป็นการยืนยันได้ว่า เศรษฐกิจของญีปุ่นนั้นดีกว่าไทยจริงๆ
น้ำทะเลของ Rockport นั้นเย็นจับขั้วหัวใจ เปรียบเหมือนน้ำผสมน้ำแข็งที่ไอ้เด็กเวรทั้งหลายชอบสาดเล่นกันในวันสงกรานต์ ชายหาดก็คลาคร่ำไปด้วยบรรดาฝรั่งหัวทองที่พากันมานอนอาบแดด (ที่นี่เขาตรงข้ามกับเมืองไทย ตรงที่นิยมคนผิวแทนนะครับ หากบรรดา whitening ทั้งหลายมาขายที่นี่ คงเจ๊งไม่เป็นท่า)
นอกจากจะมีโอกาสได้เล่นลิงชิงบอลกลางทะเลน้ำแข็ง ในนามทีมชาติไทย ปะทะ ทีมชาติญี่ปุ่นแล้ว เราทั้ง 14 สหาย (รวมเพื่อนที่ตามมาทีหลังอีก 3 ก็เป็น 17 สินะ) ได้มีโอกาสไปกิน Lobster ตัวละ 11.35 เหรียญ พร้อมกับกินซุปหอย fish cake และ ice cream ราคา 3 เหรียญ จนทุกคนพุงกางออกประมาณ 1.25 นิ้ว
เมืองชายทะเล Rockport นั้นสวยมาก บ้านไม้แต่ละหลังดูน่ารัก กระจุ๋มกระจิ๋ม ผู้คนก็ยิ้มแย้มแจ่มใส มีอัธยาศัยกับกะเหรี่ยงอย่างเรามาก พวกเราเดินไปไหน ก็มีแต่คนสนใจ นั่นไงพวกญี่ปุ่นมากันอีกแล้ว (สมการในความรู้สึกของพวกพี่กันนั้น เอเชีย = ญี่ปุ่น)
Q: Where are you guys from?
A: Thailand
Q: Oh .. I thought you are from Japan ! (shit)
สรุปแล้วก็เป็นทริปที่มันส์ดี สหายญี่ปุ่นแต่ละคน มีวิญญาณความเป็นเด็กไหลเวียนอยู่ในกระแสเลือดสูงมาก สองปีที่อยู่กับพวกท่าน คงจะหฤหรรษ์ไม่น้อย
ชาว EMBA ลูกศิษย์อาจารย์ Amy ไปเยี่ยมชมนิทรรศการ Journey of the Imagination ที่ Boston Public Library ถือว่าเป็นกิจกรรมที่ eye-opening อย่างมาก โดยเฉพาะตัวผมเอง ไม่เคยคิดสนใจเรื่องของแผนที่แม้แต่น้อย เพิ่งรู้ก็วันนี้เองว่า แผนที่นั้นมีความสำคัญกับเรามากจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการทหาร การเมือง หรือแม้แต่ธุรกิจ
Friday, July 14, 2006
รูปนี้ บรรดาชาว English for MBA แห่ง Harvard Summer School ไปถ่ายกันที่ร้าน Tea Stop เป็นร้านขายชาไข่มุก กินกันไปคนละ 3 เหรียญ หายคิดถึงเมืองไทยไปพอสมควร ขอแนะนำน้องๆ จากซ้ายไปขวา เริ่มจาก น้องปุ้ย UCLA น้องรุ้ง Kellogg น้องอาร์ค Wharton น้องกิ๊บและพี่ใหญ่จากเกาหลีนามว่า DK ทั้งสองคนนี้เรียนที่ MIT Sloan เพื่อนร่วมชั้นของผมที่ต้องเห็นหน้ากันไปอีก 2 ปี ส่วนคนขวาสุดคือ Eisley หนุ่มชาวไต้หวัน อายุเพียง 24 ปี ผู้มีวิญญาณแห่งการเรียนรู้สูงส่ง จนต้องขอคารวะ































