Friday, April 27, 2007

Sunday, April 22, 2007

Steve Jobs' Stanford Commencement Speech 2005



ขอบคุณพี่เอที่ส่ง clip นี้มาให้ดู จริงๆ แล้วเคยอ่าน transcript สำหรับ commence นี้แล้วเมื่อปีก่อนๆ แต่พอได้เห็นของจริงแล้วรู้สึกว่าทรงพลังกว่าจริงๆ ได้ฟังแล้วก็ทำให้นึกถึงหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่าง ช่วยเตือนสติตัวเอง และย้อนดูตัวเองอย่างจริงๆ จังๆ
ก่อนมาที่นี่ ได้ยินผู้คนพูดถึงนักเรียนทุนฯ ของบริษัทในแง่มุมต่างๆ กัน แน่นอนว่าหลายคนชื่นชมที่พวกเราสามารถฝ่าฟันด่านอรหันต์หลายๆ จนจบการศึกษากันไปได้ แต่หลายคนก็แอบรำพึงให้ได้ยินว่า ทำไมนักเรียนทุนหลายคนถึงเปลี่ยนไปเป็นคนละคนกับที่เคยรู้จัก หลังจากที่กลับมาจากเมืองนอกแล้ว

บางคนเริ่มพูดจาภาษาต่างดาวที่คนทั่วไปไม่เข้าใจ ทำไมหลายคนดูหงุดหงิดง่ายขึ้น สายตาที่เคยอ่อนโยนกลับกลายเป็นสายตาเชือดเฉือน ได้ฟังเรื่องราวเหล่านี้แล้วมันทำให้เราต้องตรวจใจ และตรวจพฤติกรรมตัวเองอยู่ตลอดเวลา เรากลายเป็นคนเห็นแก่ตัวหรือเปล่า เรากลายเป็นคนที่เห็นแต่ประโยชน์ของตัวเองมากเกินไปหรือเปล่า เรามองว่าคนอื่นๆ ที่ไม่ได้โอกาสมาเรียนต่างประเทศอย่างเราโง่หรือเปล่า

ผมมีความเชื่ออย่างหนึ่งว่า มนุษย์ทุกคนมีสติปัญญาไม่แตกต่างกัน แต่ที่แตกต่างกันคือทางที่แต่ละคนเลือก ชาวนาที่มหาสารคามก็มีภูมิปัญญาอย่างหนึ่งที่ Ph.D. Systems Dynamic ไม่สามารถลอกเลียนได้ จับกังที่ท่าเรือบางนาก็มีความอดทน ความเข็มแข็งทั้งใจและกายที่ MBA ไหนๆ ก็ไม่สามาารถเลียนแบบได้

ทุกคนมีความแตกต่าง มีความสามารถที่ไม่เหมือนกัน เราอย่าเอาไม้บรรทัดของเราไปวัดว่าใครโง่ ใครฉลาด แม้แต่นิยามของความสำเร็จ แต่ละคนก็มีไม่เหมือนกัน บางคนคิดว่าแค่การได้มีครอบครัวที่อบอุ่นอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา ก็คือความสำเร็จแล้ว แต่บางคนมองว่าต้องรวยเป็นร้อยล้านพันล้านถึงจะประสบความสำเร็จ ไม่มีใครผิด ไม่มีใครถูก เพราะนั่นเป็นทางเลือกของแต่ละคน

สิ่งที่มีค่าที่สุดที่ได้จาก Steve Jobs ก็คือ จงเดินตามความฝัน ตามที่ใจตัวเองปรารถนา อย่าเดินอยู่ในเงา อยู่ในความคิดของคนอื่น และจงระลึกไว้เสมอว่าเราอาจจะตายในวันนี้พรุ่งนี้ก็เป็นได้ ผมอยากจะขอเติมอีกนิดว่า จงใส่ใจกับคนรอบข้าง ชุมชนและสังคมที่เราอยู่ ถึงแม้เราจะเก่งแค่ไหน แต่หากคนรอบข้างเรา สังคมที่เราอยู่ ยังอยู่ในสภาวะย่ำแย่ เราก็คงไม่อาจมีความสุขได้อย่างแท้จริง

โสภณ สุภาพงษ์ เคยพูดไว้ในรายการ the Icon ไว้ว่า พระพุทธเจ้าแบ่งบัวออกเป็น 4 เหล่า แต่ท่านมิได้หมายความให้เราดูถูกบัวที่อยู่ใต้น้ำหรืออยู่ในภาวะที่ต่ำต้อยกว่า หากเลือกได้ จะขอเป็นน้ำเพื่อหล่อเลี้ยงบัวทุกเหล่า ให้มีชีวิตอยู่และอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข

Monday, April 16, 2007

Jennifer Kim VS. Jennifer Hudson

Jennifer Kim - คนเจ้าน้ำตา


Jennifer Hudson - Love You I Do


ทำไมคนชื่อ Jennifer ถึงร้องเพลงเพราะจังน้อ มีลูกจะตั้งชื่อ Jennifer ดีมั๊ยเนี่ย??

Sunday, April 15, 2007

Conversations with a Magic 8 Ball:

Joana: “Is it time to eat yet?”
Magic 8 Ball: “My sources say yes.”
Eric: “Should we order pizza?”
Magic 8 Ball: “The future looks hazy.”
Mengjin: “How about Thai?”
Magic 8 Ball: “No”
Joana: “Let’s have Chinese then”
Magic 8 Ball: “Maybe another time”
Eric: “Should we order pizza?”
Magic 8 Ball: “Outlook not so good”

Although the Magic 8 Ball was surprisingly consistent in predicting that we would not order pizza, we ended up ordering pizza.

After working for almost 10 hours on our presentation for the McKinsey Business Technology Challenge, any excuse not to think was welcomed. The challenge: pick a Fortune 100 company and show how one of four technologies can dramatically improve it. That is a pretty broad topic to cover. The technologies were crowd-sourcing (like this blog), ubiquitous connectivity, virtual worlds and smart network elements. My team’s task was to build a case for the company to adopt a new technology complete with financial models. All that to be reduced into a 12 page PowerPoint presentation due within 48 hours.

Not knowing that it was a long weekend when I signed up for the competition, I was not looking forward to spending it PowerPointing at all. Amazingly, this challenge has turned out to be a lot of fun. I got to brush up on chapter 1 of my Mandarin lesson, made some new friends and learned new things including the risks that a company would consider when evaluating a new technology.

This has been a weekend very well spent. It was intense but enjoyable. I felt that I accomplished something rather than wasting my weekend away sleeping. I would strongly recommend anyone who is interested in consulting to participate in at least one competition. Having participated in both the AT Kearney Case Competition and the McKinsey Business Technology Challenge, I do prefer the shorter case competitions over the longer ones.

Good luck on your case competition!

Friday, April 13, 2007

Jack Welch อดีต CEO ของ GE ที่หลายคนยกย่องว่าเป็นหนึ่งใน management guru และสุดยอด CEO ของโลก กลับมาเยี่ยมเยือน Sloan School of Management อีกครั้ง แน่นอนว่าผู้คนแห่แหนกันมาดูลุง Jack จนที่นั่งใน Wong Auditorium ไม่พอ ต้องเปิด Overflow Room เพิ่มอีกสองห้อง ถือได้ว่าเป็น Dean's Innovative Speaker Series ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในรอบปี (รองลงมาก็คือ Carly Fiorina) การ คนที่นั่งข้างๆ ลุง Jack คือ Alex d'Arbeloff เป็น Professor ของ Sloan ที่สอนวิชาชื่อประหลาด Conversations with Alex d'Arbeloff (อยากรู้ประวัติของลุง Alex ก็ไป wikipedia ดูได้ เพิ่งรู้ว่าแกเป็นเจ้าของ Filene's Basement)

รูปแบบการสนทนาในวันนี้เป็นแบบ Q&A คือ ลุง Alex ถาม ลุง Jack ตอบ ตอนเห็นลุง Jack ครั้งแรกรู้สึกว่าทำไมแกดูเซื่องๆ จัง แต่พอแกตอบคำถามแค่นั้นแหละ เปลี่ยนเป็นคนละคน กลับดูขึงขังและมีพลังขึ้นอย่างเฉียบพลัน
ลุง Jack ตอบคำถามได้ดีมากๆ สมกับที่เป็น CEO ที่ทุกคนยกย่อง ขอหยิบเอาบางประเด็นมาเล่าให้ฟัง เพราะจำได้ไม่หมด (บางอันก็ฟังไม่ทัน .. เฮ้อ)

- Organizational Study VS. Strategy : ทุกวันนี้ B-School ให้ความสำคัญกับ Strategy มากแต่กลับละเลย Organizational Study อย่างที่เห็นว่า อาจารย์ที่สอน Strategy จะดูมีฐานะทางสังคมที่ดีกว่าอาจารย์ที่สอน Organizational Study จากประสบการณ์ของลุง Jack แกบอกว่า Strategy ก็สำคัญ เพราะมันเป็น foundation ขององค์กร แต่ Organizational Study จะเป็นตัวที่ผลักดันให้องค์กรก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง พูดง่ายๆ ก็คือ แทนที่จะสนใจแต่ external consistency อย่างเดียว ให้หันมามอง internal consistency มากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของ "คน"

- ฺBottom 10 : มีคนถามแกว่า การตัดคนที่ผลงานแย่สุด 10% ออกจากบริษัทเป็นแนวคิดที่ถูกต้องแล้วหรือ ? คำตอบของลุงก็คือ ถูกต้องแล้ว ในเมื่อบริษัทมีคนที่ทำงานดี top 20 อยู่แล้ว ใยต้องมาคำนึงถึง bottom 10 แกยังบอกว่า การไล่คนออกนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ใช่อยู่ดีๆ ก็ไล่ออกเลย ต้องมีการให้ feedback เป็นระยะๆ (let them know where they stand)จนเห็นว่าไม่มีทางที่จะดีขึ้นจริงๆ ก็จำเป็นต้องเชิญออก ในส่วนนี้ manager ต้องรับหน้าที่เป็นผู้สื่อสาร หากสื่อสารไม่ดี พนักงานคนนั้นอาจจะเอาบริษัทไปพูดในทางเสียๆ หายๆ ได้ ในแวดวง HR เรารู้กันดีว่า การเอาคนออกนั้นมันมีทั้งดีและเสีย ข้อเสียก็คือ แน่นอนว่าคนๆ นั้นต้องตกงาน แต่ข้อดีก็คือ คนๆนั้นจะได้มีโอกาสไปเริ่มชีวิตใหม่ (ถ้าเราให้เขาออกแต่เนิ่นๆ ไม่ใช่ดองไว้จนแก่) และอาจจะประสบความสำเร็จมากกว่าที่อยู่กับบริษัทก็เป็นได้

- The rise of PE and IB: ทุกวันนี้ งานที่บรรดาคน MBA ให้ความสนใจมากเป็นพิเศษก็คือ Private Equity และ Investment Banking (new brain drain) เนื่องจากเป็นงานที่จ่ายงามและท้าทาย แถมยังไม่มีปัญหาเรื่อง bureaucratic มาให้วุ่นวายใจมากมายนัก เพราะฉะนั้นหากบริษัทใดๆ ก็ตามต้องการดึงคนเก่งๆ ไว้ต้องพยายามสร้างบรรยากาศให้ได้เหมือน PE และ IB ในเรื่องของ monetary reward อาจจะไม่สำคัญนัก หากบริษัทไม่มีเงินมากพอ แต่เรื่องของ challenging work และ non-bureaucratic นี่สำคัญ คน generation นี้ ชอบอะไรที่เป็นอิสระและท้าทาย ลุง Alex ดอดถามไปนิดนึงว่าแล้ว consulting ล่ะ ดูเหมือนว่าลุง jack ตอบว่า no way ตอนนี้เป็นขาลงของ consulting คนส่วนใหญ่เริ่มรู้ตัวแล้วว่าควรจะหยุดเอาแต่พูด แล้วเริ่มลงมือทำเสียที (ดูเหมือนแกจะไม่ค่อยชอบ consulting นะ)

- Work-life Chioces: คำถามนี้ classic จะ balance ชีวิตส่วนตัวและการทำงานได้อย่างไร ในวันก่อนที่ GM ของ ClubMed มาก็มีคนถามคำถามนี้ คำตอบของ GM Clubmed และลุง Jack นั้นคล้ายกัน ก็คือ ไม่มีหรอกไอ้ที่เรียกว่า Work-life Balance โลกนี้มีแต่ Work-life Choices เราต้องเลือกว่าจะทุ่มเทให้กับสิ่งไหนมากกว่ากัน ทำสิ่งไหนแล้วเรามีความสุขมากกว่ากัน ผมเองเห็นด้วยกับแนวคิดนี้ เพราะเห็นตัวอย่างมามากมายว่าคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตการงานนั้น ส่วนมากจะต้อง trade-off กับชีวิตครอบครัว แต่ที่น่าทึ่งก็คือ ยังมีบางคนที่สามารถประสบความสำเร็จทั้งสองอย่างได้พร้อมๆ กัน คงเป็นความสามารถเฉพาะตัวที่ยากจะเลียนแบบได้

ขอบคุณที่อดทนอ่านมาถึงบรรทัดนี้ 8)

Saturday, April 07, 2007

TSMIT Songkran Party

TSMIT Sonkran Party


Here is an excerpt from "The Corporation" .. worth watching !

Ray Anderson on Sustainability

Thursday, April 05, 2007

Alone in the Universe - David Usher


I think we're alone here .. you and I
I think we're alone in the universe tonight
David Usher อดีตนักร้องนำของวงร็อคจากแคนาดา Moist หากยังพอจำเพลงได้ เขาเคยร้องท่อนฮุคไว้เป็นภาษาไทย ตอนนั้นฟังแล้วอยากเอาขี้เถ้ายัดปากคนคิด เพราะมันทำให้เพลงดีๆ กลายเป็นเพลงห่วยไปในทันที

สิ่งที่น่าสนใจสำหรับ David Usher ก็คือเขามีแม่เป็นคนไทยชื่อว่า Samphan Usher เป็นศิลปินสีน้ำที่มีชื่อเสียงพอสมควร ส่วนพ่อเป็นนักเศรษฐศาสตร์อยุ่ทีมหาวิทยาลัย Queens ถือว่าเป็นส่วนผสมที่แปลกใช้ได้ เพลงนี้ชอบตรงท่อนที่ว่า I think we're alone here .. you and I .. I think we're alone in the universe tonight ลองคิดดูว่าหากเราขึ้นไปลอยเท้งเต้งอยู่นอกโลก รอบตัวมีแต่ดำมืดมิด มันจะเหงาสักขนาดไหน ว่าแล้วก็ทดลองปิดไฟนั่งอยู่เงียบๆ คนเดียวสัก 20 นาที (ห้ามหลับ) มันก็ให้ความรู้สึกแปลกไปอีกแบบ

Tuesday, April 03, 2007

One Night Only - Jennifer Hudson


สุดยอดดดดดด ....
ใครสักคน - Paradox


Sunday, April 01, 2007

10-day trip to Westcoast just ended today!
Tomorrow, the H2 will begin .. sigh ..

The end of Spring Break

Seattle - 2nd day

Sanfrancisco - Seattle

SanFrancisco-4th day

Ane more albums at http://picasaweb.google.com/niranb