Friday, April 13, 2007

Jack Welch อดีต CEO ของ GE ที่หลายคนยกย่องว่าเป็นหนึ่งใน management guru และสุดยอด CEO ของโลก กลับมาเยี่ยมเยือน Sloan School of Management อีกครั้ง แน่นอนว่าผู้คนแห่แหนกันมาดูลุง Jack จนที่นั่งใน Wong Auditorium ไม่พอ ต้องเปิด Overflow Room เพิ่มอีกสองห้อง ถือได้ว่าเป็น Dean's Innovative Speaker Series ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในรอบปี (รองลงมาก็คือ Carly Fiorina) การ คนที่นั่งข้างๆ ลุง Jack คือ Alex d'Arbeloff เป็น Professor ของ Sloan ที่สอนวิชาชื่อประหลาด Conversations with Alex d'Arbeloff (อยากรู้ประวัติของลุง Alex ก็ไป wikipedia ดูได้ เพิ่งรู้ว่าแกเป็นเจ้าของ Filene's Basement)

รูปแบบการสนทนาในวันนี้เป็นแบบ Q&A คือ ลุง Alex ถาม ลุง Jack ตอบ ตอนเห็นลุง Jack ครั้งแรกรู้สึกว่าทำไมแกดูเซื่องๆ จัง แต่พอแกตอบคำถามแค่นั้นแหละ เปลี่ยนเป็นคนละคน กลับดูขึงขังและมีพลังขึ้นอย่างเฉียบพลัน
ลุง Jack ตอบคำถามได้ดีมากๆ สมกับที่เป็น CEO ที่ทุกคนยกย่อง ขอหยิบเอาบางประเด็นมาเล่าให้ฟัง เพราะจำได้ไม่หมด (บางอันก็ฟังไม่ทัน .. เฮ้อ)

- Organizational Study VS. Strategy : ทุกวันนี้ B-School ให้ความสำคัญกับ Strategy มากแต่กลับละเลย Organizational Study อย่างที่เห็นว่า อาจารย์ที่สอน Strategy จะดูมีฐานะทางสังคมที่ดีกว่าอาจารย์ที่สอน Organizational Study จากประสบการณ์ของลุง Jack แกบอกว่า Strategy ก็สำคัญ เพราะมันเป็น foundation ขององค์กร แต่ Organizational Study จะเป็นตัวที่ผลักดันให้องค์กรก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง พูดง่ายๆ ก็คือ แทนที่จะสนใจแต่ external consistency อย่างเดียว ให้หันมามอง internal consistency มากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของ "คน"

- ฺBottom 10 : มีคนถามแกว่า การตัดคนที่ผลงานแย่สุด 10% ออกจากบริษัทเป็นแนวคิดที่ถูกต้องแล้วหรือ ? คำตอบของลุงก็คือ ถูกต้องแล้ว ในเมื่อบริษัทมีคนที่ทำงานดี top 20 อยู่แล้ว ใยต้องมาคำนึงถึง bottom 10 แกยังบอกว่า การไล่คนออกนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ใช่อยู่ดีๆ ก็ไล่ออกเลย ต้องมีการให้ feedback เป็นระยะๆ (let them know where they stand)จนเห็นว่าไม่มีทางที่จะดีขึ้นจริงๆ ก็จำเป็นต้องเชิญออก ในส่วนนี้ manager ต้องรับหน้าที่เป็นผู้สื่อสาร หากสื่อสารไม่ดี พนักงานคนนั้นอาจจะเอาบริษัทไปพูดในทางเสียๆ หายๆ ได้ ในแวดวง HR เรารู้กันดีว่า การเอาคนออกนั้นมันมีทั้งดีและเสีย ข้อเสียก็คือ แน่นอนว่าคนๆ นั้นต้องตกงาน แต่ข้อดีก็คือ คนๆนั้นจะได้มีโอกาสไปเริ่มชีวิตใหม่ (ถ้าเราให้เขาออกแต่เนิ่นๆ ไม่ใช่ดองไว้จนแก่) และอาจจะประสบความสำเร็จมากกว่าที่อยู่กับบริษัทก็เป็นได้

- The rise of PE and IB: ทุกวันนี้ งานที่บรรดาคน MBA ให้ความสนใจมากเป็นพิเศษก็คือ Private Equity และ Investment Banking (new brain drain) เนื่องจากเป็นงานที่จ่ายงามและท้าทาย แถมยังไม่มีปัญหาเรื่อง bureaucratic มาให้วุ่นวายใจมากมายนัก เพราะฉะนั้นหากบริษัทใดๆ ก็ตามต้องการดึงคนเก่งๆ ไว้ต้องพยายามสร้างบรรยากาศให้ได้เหมือน PE และ IB ในเรื่องของ monetary reward อาจจะไม่สำคัญนัก หากบริษัทไม่มีเงินมากพอ แต่เรื่องของ challenging work และ non-bureaucratic นี่สำคัญ คน generation นี้ ชอบอะไรที่เป็นอิสระและท้าทาย ลุง Alex ดอดถามไปนิดนึงว่าแล้ว consulting ล่ะ ดูเหมือนว่าลุง jack ตอบว่า no way ตอนนี้เป็นขาลงของ consulting คนส่วนใหญ่เริ่มรู้ตัวแล้วว่าควรจะหยุดเอาแต่พูด แล้วเริ่มลงมือทำเสียที (ดูเหมือนแกจะไม่ค่อยชอบ consulting นะ)

- Work-life Chioces: คำถามนี้ classic จะ balance ชีวิตส่วนตัวและการทำงานได้อย่างไร ในวันก่อนที่ GM ของ ClubMed มาก็มีคนถามคำถามนี้ คำตอบของ GM Clubmed และลุง Jack นั้นคล้ายกัน ก็คือ ไม่มีหรอกไอ้ที่เรียกว่า Work-life Balance โลกนี้มีแต่ Work-life Choices เราต้องเลือกว่าจะทุ่มเทให้กับสิ่งไหนมากกว่ากัน ทำสิ่งไหนแล้วเรามีความสุขมากกว่ากัน ผมเองเห็นด้วยกับแนวคิดนี้ เพราะเห็นตัวอย่างมามากมายว่าคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตการงานนั้น ส่วนมากจะต้อง trade-off กับชีวิตครอบครัว แต่ที่น่าทึ่งก็คือ ยังมีบางคนที่สามารถประสบความสำเร็จทั้งสองอย่างได้พร้อมๆ กัน คงเป็นความสามารถเฉพาะตัวที่ยากจะเลียนแบบได้

ขอบคุณที่อดทนอ่านมาถึงบรรทัดนี้ 8)

No comments: